ความรักของคริสเตียน

 


ความรักของคริสเตียน

ความรักของคริสเตียน เป็นความรักในแบบพระเจ้า ซึ่งเน้นในแง่การปฏิบัติ มากกว่าความรู้สึกเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้จากทั้งความรักของพระเจ้าและความรักของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ พระคัมภีร์จึงสั่งให้มนุษย์รักคนอื่น ไม่ว่าจะรู้สึกชอบหรือไม่ชอบก็ตาม

มัทธิว 22:37-39 [ พระบัญญัติข้อใหญ่ ]
มัทธิว 5:44 "ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน"
ยอห์น 13:34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น
ยอห์น 15:17 สิ่งที่เราสั่งท่านทั้งหลายไว้ก็คือ ท่านจงรักกันและกัน
ยอห์น 4:20-21 ถ้าผู้ใดว่า "ข้าพเจ้ารักพระเจ้า" และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่า ผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตน ที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้ พระบัญญัตินี้ เราทั้งหลาย ก็ได้มาจากพระองค์ คือว่าให้คนที่รักพระเจ้านั้น รักพี่น้องของตนด้วย


ความรักของคริสเตียน ไม่ได้หมายความว่า คนหนึ่งคนใด พยายาม ที่จะสร้างความรู้สึกรัก ขึ้นในตัวเอง แต่ต้อง แสดงความรักนั้น ต่อผู้อื่น ในรูปการกระทำด้วยใจจริง [ "แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร" - มัทธิว 5:46] เพราะความรักของพระเจ้า ได้ครอบครองชีวิตอยู่ ทำให้ปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งเขาแสดงความรัก ต่อคนอื่นมากเท่าใด ความรู้สึกรักคนนั้น ก็จะมีมากขึ้นตามมา

โรม 5:5 "และความหวังใจ มิได้ทำให้เกิดความเสียใจ เพราะผิดหวัง เพราะเหตุว่า ความรักของพระเจ้า ได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว"

2 โครินธ์ 5:14, 17 เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่ เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ ว่ามีผู้หนึ่ง ได้ตายเพื่อคนทั้งปวง เหตุฉะนั้นคนทั้งปวงจึงตายแล้ว ... เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูก สร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น

ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ เป็นความรักดั้งเดิม ตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระเจ้าทรงรักมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงเลือกรักพวกเขา ไม่ใช่รักเพราะพวกเขาได้สร้างคุณงามความดี หรือทำอย่างหนึ่งอย่างใดดีเลิศ จึงสมควรได้รับความรัก

เฉลยธรรมบัญญัติ 7:7-8 ที่พระเจ้าทรงรัก และทรงเลือกท่านทั้งหลายนั้น มิใช่เพราะท่านทั้งหลาย มีจำนวนมากกว่าประชาชนชาติอื่น ... แต่เพราะพระเจ้าทรงรักท่านทั้งหลาย และพระองค์ทรงรักษาคำปฎิญาณ ซึ่งพระองค์ทรงปฎิญาณ ไว้กับบรรพบุรุษ ของท่านทั้งหลาย...

เยเรมีห์ 31:3 เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้น เราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป

เรื่องนี้ เห็นได้ชัดเจนจากพระเยซูคริสต์ ตลอดชีวิตของพระองค์ ทรงช่วยเหลือ คนที่ต้องการความช่วยเหลือ และโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์สามาารถช่วยคนบาป ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ การไถ่โทษความบาปมนุษย์ เกิดขึ้นได้ ก็ด้วยความรักของพระเจ้า [มธ.14:14; มก.10:21; ลก.7:3; กท.2:20; อฟ.2:4-7; 5:25] พระเยซูคริสต์ เป็นผู้เหมาะสมมากที่จะแสดงให้มนุษย์เห็นถึงความรักของพระเจ้า เพราะว่า พระเยซูและพระบิดา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยความสัมพันธ์ซึ่งพระบิดารักพระบุตร และพระบุตรรักพระบิดา [ยน.3:35; 10:31; 14:31; 15:9; 17:24;]

เรื่องนี้อาจจะยากต่อความเข้าใจของบางคน เมื่อเขาคิดถึงเรื่องพระพิโรธ ของพระเจ้า และการพิพากษาของพระองค์ แต่นั่นเป็นเพราะ พวกเขาเข้าใจลักษณะแห่งความรักของพระเจ้าผิดไป ความรักของพระเจ้า ไม่ใช่ความรู้สึก ที่แยกออก จากความยุติธรรม หรือความชอบธรรม ความรักของพระองค์ มีท่าทีแน่นอน ทรงหวังดีต่อมวลมนุษย์มาก จึงต่อต้าน สิ่งผิดทั้งปวง ด้วยพระพิโรธอันชอบธรรม พระพิโรธของพระเจ้า เป็นผลสืบเนื่องมากจาก ความรักของพระองค์ [ฮบก.1:13; 1 ยน.1:5;]

โรม 5:8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรา ยังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา

พระเจ้ามีพระประสงค์ ที่จะยกโทษความบาปให้แก่มนุษย์ แต่เนื่องจากพระองค์ เป็นพระเจ้าแห่งความบริสุทธิ์ และยุติธรรม พระองค์จึงไม่ยอมปล่อยปละละเลยความบาป เหมือนกับว่า การทำบาป เป็นเรื่องไม่สำคัญ พระองค์จึงต้อง จัดการความบาป แต่พระองค์ก็ได้ทรงจัดเตรียมทางรอดไว้ให้ด้วย เพื่อคนบาปทั้งปวงจะไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะเหตุ พระเจ้าเป็นความรัก พระองค์จึงได้บังเกิดเป็นมนุษย์ คือ พระเยซูคริสต์ เพื่อรับโทษบาปแทนมนุษย์ ด้วยพระองค์เอง บนไม้กางเขน [ยน.1:14-18; ยน.4:10]

เพราะความรักนี้เอง เป็นเหตุให้พระเจ้า ทรงตีสอนบรรดาคนที่เชื่อ และเป็นบุตรของพระองค์ เพื่อให้พวกเขาเติบโต ไปสู่ความสมบูรณ์ฝ่ายจิตวิญญาณ พระเจ้าทรงรักมนุษย์ ในฐานะเป็นผู้ใหญ่กว่าเขา ส่วนมนุษย์รักพระเจ้า ในฐานะ ผู้ยอมเชื่อฟังการตีสอนของพระองค์ แต่การร้องขอให้พระองค์ หยุดตีสอน ก็เท่ากับการร้องขอ ให้พระองค์ ทรงรักน้อยลงนั่นเอง [ฮบ.12:5-11] ความรักเรียกร้องให้ คนที่ถูกรักมีความบริสุทธิ์ [อฟ.5:25-27; ยก.4:5]

 โรม 8:28 เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวง ที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

คริสเตียน ควรจะรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแก่เขาเหมือนกับว่า พระเจ้าทรงแสดง ให้เห็นถึงความรักของพระองค์ และทรงให้ทุกสิ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ พระเจ้าประทาน พระบุตรของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องประกันว่า ของประทานอื่นๆ นั้น ก็เป็นเครื่องแสดงออก ให้เห็นถึงความรัก ของพระองค์เช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรในชีวิต แม้แต่ความตาย จะสามารถแยกผู้ที่เชื่อ ออกจากความรัก ของพระเจ้าได้เลย [รม.8:32-39]

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น